ด้านวรรณศิลป์
๑.การสรรคำ การใช้คำที่หลากหลายในการสื่อความหมายถึงตัวละครแต่ละตัว ซึ่งการสรรคำ จะทำให้ผู้อ่านไม่เกิดความเบื่อหน่ายเพราะหากไม่มีการสรรคำก็จะต้องใช้สรรพนามแทนตัวละครหนึ่งๆซ้ำๆ กันอยู่ตลอดเวลาก็จะทำให้เรื่องราวอาจกร่อยลงได้
คำที่มีความหมายว่า พระราม, พระนารายณ์
เมื่อนั้น |
พระลักษมณ์ทรงสวัสดิ์รัศมี |
น้อมเศียรกราบบาทพระจักรี |
ชุลีกรสนองพระบัญชา |
เมื่อกี้ได้ยินสำเนียง |
สุรเสียงสมเด็จพระเชษฐา |
|
|
………………… |
………………… |
พระพี่นางได้ยินเสียงมัน |
สำคัญว่าเสียงพระสี่กร |
ขับน้องให้ตามเบื้องบาท |
พระตรีภูวนาททรงศร |
ทูลว่าใช่เสียงพระภูธร |
อสุรีหลอกหลอนเป็นมายา |
คำที่มีความหมายว่า นางสีดา
ก็เล็งทิพเนตรลงมาดู |
ก็รู้ว่าสมเด็จพระลักษมี |
จะลุยเพลิงถวายพระจักรี |
ยังที่สุวรรณพลับพลา |
เมื่อกี้ได้ยินสำเนียง |
สุรเสียงสมเด็จพระเชษฐา |
|
|
………………… |
………………… |
ครั้นเห็นซึ่งดวงประทุมมาศ |
โอภาสพรรณรายฉายฉัน |
ผุดขึ้นกลางกองเพลิงนั้น |
รับองค์กัลยายุพาพาล |
คำที่มีความหมายว่า ทศกัณฐ์
เมื่อนั้น |
ทศเศียรสุริย์วงศ์ใจหาญ |
เสด็จจากแท่นรัตน์ชัชวาล |
เข้าปราสาทสุรกานต์รูจี |
|
|
เมื่อนั้น |
ท้าวยี่สิบกรยักษา |
เสียสองลูกรักคือดวงตา |
อสุรารำพึงคะนึงคิดฯ |
๒.การเล่นคำซ้ำ ทำให้เกิดความไพเราะและเสริมความงดงามของบทประพันธ์ ซึ่งในเรื่องรามเกียรติ์นี้พบเป็นจำนวนมาก เช่น
บัดนั้น |
ปักหลั่นสิทธิศักดิ์ยักษี |
ถาโถมโจมจ้วงทะลวงตี |
ด้วยกำลังอินทรีย์กุมภัณฑ์ |
ต่างถอยต่างไล่สับสน |
ต่างตนฤทธิแรงแข็งขัน |
สองหาญต่อกล้าเข้าโรมรัน |
ต่างตีต่างฟันไม่งดการ |
คำที่มีความหมายว่า โกรธ ได้แก่ โกรธ โกรธา กริ้ว๓. การหลากคำ หรือคำไวพจน์ การเลือกใช้คำที่เขียนต่างกันแต่ความหมายเหมือนกัน เช่น
- คำที่มีความหมายว่า ม้า ได้แก่ พาชี มโนมัย สินธพ อาชาไนย อัสดร นฤเคนทร์ สีห์
- คำที่มีความหมายว่า ศัตรู ได้แก่ ไพรี ปัจจามิตร ปรปักษ์ อรินทร์ ไพริน อริ อัสดร เวรี
- คำที่มีความหมายว่า ภูเขา ได้แก่ บรรพต สิงขร พนม คีรี
ด้านเนื้อหา
เนื้อหานอกจากจะให้ความเพลิดเพลินแล้ว ตัวละครในเรื่องยังได้แสดงถึงคุณธรรมที่เป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต เช่น
พระรามเป็นบุตรที่มีความกตัญญูต่อบิดามารดา โดยยินยอมออกเดินป่าเป็นเวลาถึง ๑๔ ปีเพื่อรักษาความสัตย์ของบิดา
|
|
|
|
เมื่อนั้น |
|
พระรามสุริยวงศา |
รับเอาซึ่งเครื่องจรรยา |
|
แล้วมีบัญชาตรัสไป |
เอ็งจงกราบทูลเสด็จแม่ |
|
ว่าเราบังคมประนมไหว้ |
อันสัตย์พระปิตุรงค์ทรงชัย |
|
กูนี้มิให้เสียธรรม์ |
อย่าว่าแต่ไปสิบสี่ปี |
|
จะถวายชีวีจนอาสัญ |
ให้เป็นที่สรรเสริญแก่เทวัญ |
|
ว่ากตัญญูต่อบิดา |
ซึ่งน้องเราจะผ่านพระนคร |
|
ให้ถาวรบรมสุขา |
วันนี้จะถวายบังคมลา |
|
อย่าให้พระแม่ร้อนใจฯ |
นอกจากนี้ยังมีข้อคิดที่ได้อีกมากมาย เช่น
๑.ทั้งในเรื่องความยุติธรรมของท้าวมาลีวราชที่ไม่เข้าข้างฝ่ายทศกัณฐ์ซึ่งเป็นหลานของตน แต่ฟังความจากทุกฝ่ายเพื่อให้เกิดความยุติธรรมแก่ทุกคน
๒.การไม่เห็นแก้พวกพ้องจนเสียความยุติธรรม เห็นได้จากสุครีพ ที่สาบานเป็นเพื่อนตายกับพิเภก แต่เมื่อได้รับบัญชาให้สอบสวนนางเบญจกายซึ่งปลอมตัวเป็นนางสีดาตายลอยน้ำมาลวงพระราม สุครีพสอบสวนความได้ว่า นางเป็นธิดาของพิเภกจึงเชื่อคำให้การของนางเบญจกายแต่ก็ให้นางเข้าพบพระรามเพื่อตัดสินคดี ไม่ปล่อยให้นางเป็นอิสระทันที
๓.ความกล้าหาญในการรบของหนุมานและสุครีพ ที่ต่อสู้กับศัตรูอย่างกล้าหาญ
ด้านสังคม
๑.วัฒนธรรมและประเพณี ได้แก่ การทำกิจกรรมต่างๆ เช่น ประเพณีการจัดทัพและการตั้งค่าย ความเชื่อเรื่องโชคลาง และการบูชาบวงสรวงเทวดา เช่น พิธีปรุงข้าวทิพย์ ความเชื่อเรื่องโชคลางในการหาฤกษ์ยามที่เหมาะสมในการออกทัพ หรือระเบียบวิธีทางการทูตสมัยเก่า เช่นการปฏิสันถารสามนัด (เมื่อพระราชาพบทูต จะถามคำถามสามคำถามก่อนที่จะเจรจากัน ได้แก่ ๑.พระราชาของท่านเป็นอย่างไร ๒.เมืองของท่านเป็นอย่างไร ๓.ท่านมีจุดประสงค์อะไร ซึ่งเป็นโอกาสให้ทูตให้ปฏิภาณไหวพริบตอบ) เป็นต้น
๒.การแสดงสภาพชีวิตความเป็นอยู่และค่านิยมของบรรพบุรุษ ที่ย่อมจะสอดแทรกสภาพสังคมสมัยก่อน
๓.การเข้าในธรรมชาติของมนุษย์ ตัวละครแต่ละตัวเป็นตัวแทนของมนุษย์โดยทั่วไปที่มี รัก โลภ โกรธ หลง ดีใจ เสียใจ
๔.เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ชื่อเมืองและสถานที่หลายๆแห่งในเรื่องรามเกียรติ์นั้น ร่วมสมัยกับเมืองไทยในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ เช่นเมืองอยุธยา เมืองบุรีรัมย์ แม่น้ำสะโตง นอกจากนั้นเทคโนโลยีก็ร่วมสมัยกัน เช่นมีการกล่าวถึงอาวุธปืน ซึ่งย่อมไม่มีในรามายณะ นอกจากนั้นระบบการปกครองในรามเกียรติ์ยังเป็นระบบการปกครองแบบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เก่า ที่เจ้าเมืองขึ้นยอมสยบต่อเมืองแม่เป็นทอดๆ โดยการเคารพใน ‘บุญ’ ของพระมหากษัตริย์เป็นหลัก
๕.สอดแทรกมุมมองของปราชญ์ไทยที่นอกเหนือจากรามายณะ เช่น เมื่อกุมภกรรณออกรบกับพระรามนั้น ได้ตั้งปริศนาถามพระรามไว้บอกว่าถ้าพระรามตอบได้จะยอมเลิกทัพกลับ ปริศนาถามว่า ชีโฉด หญิงโหด ช้างงารี ชายทรชน สี่อย่างนี้คืออะไร พระรามตอบไม่ได้จึงใช้องคตมาถาม กุมภกรรณจึงเฉลยว่า
หญิงโหด คือนางสำมะนักขาที่คิดเอาพระรามเป็นสามี พอไม่ได้ก็และยุยงให้พี่น้องมารบกับพระรามจนเกิดเรื่อง
ช้างงารี คือทศกัณฐ์ที่เกะกะอันธพาล ไปแย่งเมียคนอื่น
ชีโฉด คือพระรามที่เพื่อแย่งชิงนางสีดากลับ ถึงกับยกทัพใหญ่มาทำการวุ่นวาย ทำให้คนบริสุทธิ์มากมายเดือดร้อน
ชายทรชน คือพิเภกที่ไม่รู้จักบุญคุณพี่น้อง ไปบอกความลับของฝ่ายลงกาแก่ศัตรู เหมือนแกล้งฆ่าพี่น้องทุกคน
คำบริภาษนี้เป็นของปราชญ์ไทยแต่งขึ้นโดยไม่มีในรามายณะต้นฉบับ ได้เป็นคำบริภาษทุกฝ่ายอย่างยุติธรรมตามมุมมองของกุมภกรรณ หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นมุมมองของกวีที่สอดแทรกไว้ก็ได้
สำนวนไทยที่สอดแทรก
กล่องดวงใจ : ในเรื่อง มียักษ์สองตนคือ ทศกัณฐ์และไมยราพที่อยู่ยงคงกระพันแม้โดนฟาดฟันด้วยอาวุธต่างๆ ก็ไม่ตาย ทั้งนี้เนื่องมาจาก ทั้งสองได้ถอดดวงใจออกจากตัวแล้วนำใส่กล่องไปเก็บไว้ที่อื่น โดยที่ทศกัณฐ์นำดวงใจไปเก็บไว้ที่ภูเขานิลคีรี ส่วนไมยราพนั้นนำไปเก็บไว้ในถ้ำบนยอดเขาตรีกูฏ
กล่องดวงใจ จึงหมายถึงสิ่งหรือผู้ที่เจ้าของผู้ครอบครองเห็นว่ามีค่าสูงดังชีวิตตนและพยายามเก็บรักษาไว้ด้วยความหวงแหน
น้ำบ่อน้อย : คราวที่หนุมานรับอาสาไปเฝ้านางสีดา แล้วตอนกลับได้ฉวยโอกาสลอบเผากรุงลงกา แต่ไฟก็ได้ไหม้ที่ปลายหางของตนซึ่งพยายามดับเท่าไหร่ก็ไม่มอดจึงต้องอาศัยฤๅษีบอกใบ้ว่าให้ดับด้วยน้ำบ่อน้อย หนุมานนึกออกจึงส่งปลายหางเข้าปากอมไว้ ไฟนั้นจึงได้มอดสนิท
น้ำบ่อน้อย หมายถึงน้ำลาย คือถ้าพูดให้ดีก็สามารถดับทุกข์ได้
ลูกทรพี/วัดรอยเท้า : ทรพีเป็นลูกของทรพากันางนิลากาสร เดิมทรพานั้นชื่อนนทกาลทำหน้าที่เฝ้าทวาร ณ เขาไกรลาส ถูกสาปให้ลงมาเกิดเป็นควายและเมื่อใดที่ถูกลูกฆ่าตายจึงจะพ้นโทษ เมื่อกำเนิดเป็นควายทรพาจำคำสาปได้จึงเที่ยวฆ่าลูกให้ตายเสมอ จนนางนิลากาสรแอบไปคลอดในถ้ำ พอทรพีโตขึ้นก็มีความอาฆาตแค้นพ่อ คอยวัดรอยเท้าทรพาอยู่เป็นประจำ จนเห็ว่าขนาดรอยเท่ากันแปลว่าไม่เสียเปรียบกันแล้ว จึงไปท้าสู้และได้ฆ่าต่อของตนตาย
วัดรอยเท้า ใช้เปรียบในกรณีที่ผู้เยาว์หรือผู้น้อยแอบฝึกตัวเพื่อหาทางเอาชนะผู้อาวุโสหรือผู้ใหญ่